อยากเล่นรถยุโรปมือ 2 ที่ Australia ?? เดี๋ยวรีวิวให้ครับ
- namchasang .
- Dec 13, 2024
- 2 min read
Updated: Oct 31

ตอนมาใหม่ๆ หลังจากที่ settle เรื่องบ้านไปแล้ว แอดก็ซื้อรถเลยครับ ได้มาเป็น VW Golf tsi ปี 2011 ราคาประมาณ 13,xxx ซึ่งในบรรดารุ่นเดียวกันราคานี้จัดว่าแพงครับ แต่สิ่งที่ทำให้คันนี้โดดเด่นกว่าคันอื่นใน marketplace คือ
- สีแดง 55 หายากสำหรับรุ่นนี้สภาพนี้
- ไมล์ 65,000 km ใช้น้อยมากกก
- มี owner มาแค่ 2 คน
- logbook เช็คระยะ service ศูนย์ vw มาตลอดชีวิต
- มี care plan ของศูนย์ 4 ปี แปลว่า service ทั่วไปฟรี
- เปลี่ยนพวกซ่อมหนักๆ มาแล้ว
แอดเจอเจ้า Rot (red ในภาษาเยอรมัน) จาก FB marketplace ขายอยู่แถว Ryde ก็รีบไปดูรถ วางมัดจำ แล้วเอารถวันต่อไปเลยครับ นานๆสภาพนี้จะหลุดออกมาที มีแต่คนอยากได้แน่นอน
หลังจากได้มาก็ใช้งานปกติครับ ขับไป roadtrip เสาอาทิตย์ ขับ uber แต่ที่ใช้งานอยู่ทุกวันคือ ขับ ไป-กลับระหว่าง MQ Park - Surry Hills เพื่อไปรับส่งแอดแม่ทำงานในเมือง ก็ถือว่าใช้งานทั่วๆไป ไม่ได้หนักมาก
รถคันนี้ถึงรอบเช็คระยะเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมานี่เองครับ แอดก็เอารถไปเข้าศูนย์ VW เหมือนเดิมตามที่รถนี้เคยถูกดูแลมา เล่าให้ฟังก่อนว่าสำหรับรถยุโรปนั้นจะมีรอบ service โดยทั่วไปแบ่งเป็น
1) Service A - ก็เช็คสภาพเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ของเหลวทั่วไป
2) Service B - นอกจากของเหลว ก็จะมีพวกส่วนต่างๆ ที่เสื่อมตามการใช้งาน เช่นพวก bush ยาง ระบบช่วงล่าง เบรค เกียร์ แอร์ หม้อน้ำ ฯลฯ
สำหรับราคา service cost guide ของทางศูนย์ VW เอง คือ Service A เริ่มต้น $300 และ service B เริ่มกันที่ $500-1,000 แล้วแต่ดวงว่าจะมีอะไรเสียบ้าง ซึ่งแอดเองไม่เคย compromise ในเรื่องการซ่อมรถครับ อะไรเสีย อะไรที่รถมันเตือนเราต้องรีบทำทันที เพราะความปลอดภัยในการใช้งานอยู่ที่การบำรุงรักษาของเรานี่ล่ะ ซึ่ง VW Golf จะมีอาการเสียทั่วไปที่เจอกันประจำคือ
- ปั๊มน้ำ
- เบรค
- เกียร์
- ช่วงล่าง
อาการเหล่านี้เป็นการเสื่อมตามการใช้งานทั่วไปครับ ค่าใช้จ่ายจะประมาณ $500 - $2,000 ซึ่งจะเจอเร็วเจอถี่ขนาดไหนอยู่ที่พฤติกรรมในการขับขี่และลักษณะของพื้นที่ที่เราขับรถเป็นประจำครับ อย่างแอดอยู่โซน North-west Sydney ซึ่งอยู่บนเขา ต้องขับขึ้นลงเนินเป็นประจำ ต้องเร่งเครื่อง ต้องเบรค ต้องจอดติดไฟแดงบนทางชันทางขึ้นเนินเป็นประจำ พฤติกรรมแบบนี้มันทำให้รถของแอดนั้นมีระบบเบรคที่เสื่อมเร็วกว่ารถทั่วไปที่ขับบนที่ราบ
ล่าสุดนอกจาก service ทั่วไปก็เลยพึ่งเปลี่ยน brake pads + rotor ไปด้วย $1,500 เบาๆครับ (เป๋าตังเนี่ยล่ะ)
-----
หลายคนก็เลยอาจจะกังวลว่าใช้รถยุโรปมันจุกจิกกว่าใช้รถญี่ปุ่น แอดมีมุมมองดังนี้ครับ
- จุกจิกกว่า ?
ตอบ : ใช่ครับ เข้าศูนย์ครั้งนึงมีอะไรให้ซ่อมเยอะกว่าครับ ด้วยความซับซ้อนของเครื่องยนต์และเทคโนโลยีที่มีมากกว่ารถญี่ปุ่น ทำให้เวลาซ่อมทีมันมีอะไรให้เสียให้เปลี่ยนมากกว่า
- กินน้ำมันกว่า ?
ตอบ : ไม่เสมอไป แต่ถ้าเป็นในรถ class เดียวกัน (สมมติว่า Hatchback) รถยุโรปจะหนักกว่าเลยกินน้ำมันกว่าครับ แต่สุดท้ายก็อยู่ที่พฤติกรรมเราครับ อย่างแอดขับอยู่ตอนนี้ได้เฉลี่ย 15km/litre ครับ
- ค่าบำรุงรักษาแพงกว่า ?
ตอบ : ใช่ครับ ถ้าเป็นเงินไทยจะมีความแตกต่างมาก แต่พอมาเป็นเงินออสฯ แอดไม่ได้รู้สึกว่าแพงกว่ากันเยอะขนาดนั้น ตอนนี้รถที่ใช้อยู่แอดจ่ายเชคระยะ service A ที่ $300 และ Service B ที่ $500-1,000 แต่ก็สำหรับรถอายุ 12 ปีก็รับได้ครับ
- ราคาขายต่อตกเยอะ ?
ตอบ : ใช่ครับ รุ่นทั่วไปโดยเฉพาะ suv จะราคาตกมากครับ แต่สำหรับ hatchback อย่าง Golf ที่แอดใช้ราคาไม่ค่อยตกเท่าไหร่ ส่วนนึงเพราะว่าออสฯ มีชาวต่างชาติย้ายมาเรียนและทำงานเป็นจำนวนมากซึ่งคนกลุ่มนี้ถ้าเป็นแค่นักเรียนก็ไม่สามารถจัดไฟแนนซ์รถใหม่ได้ก็เลยจะมาดูรถมือ 2 ในงบ 5-10K นี่ล่ะ และหลายๆคนก็ไม่อยากใช้เงินก้อนใหญ่กับการซื้อรถเลยจะเริ่มจากรถมือ 2 กันก่อน รวมถึงช่วงนี้รถมือ 1 ได้กันช้าเลยทำให้รถมือ 2 เป็นที่นิยมด้วยครับ ยิ่งถ้ามีรุ่นเปิดประทุน (Cabriolette) นะราคาขึ้นเฉย
- แล้วทำไมคนยังชอบใช้รถยุโรป ?
ตอบ : การขับขี่ที่ดีกว่า การเก็บเสียงที่ดีกว่า เทคโนโลยี ความปลอดภัย การออกแบบ ความหรูหรา ความสบายตัวและสบายตาของห้องโดยสาร และภาพลักษณ์ของการใช้รถยุโรป Value เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เรามีความสุขในการใช้รถยุโรป และรับได้กับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาไม่มากนัก
-----
ขนาดรถ Audi ที่ได้ชื่อว่าเป็น money pit (หลุมดูดเงิน) คนยังใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองเลยครับเพราะสิ่งที่เราจ่ายไปมันคุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้รับคืนมา ... อย่างแอดมีลูกเล็ก เวลาขับรถยุโรปจะรู้สึกปลอดภัยกว่าขับรถญี่ปุ่นขนาดเท่ากันอย่าง Honda civic หรือ toyota Corolla มากกว่า




