มารู้จักไวน์ของ Australia กัน
- namchasang .
- Oct 24, 2024
- 2 min read
Updated: Mar 12

ความชอบของบ้านนี้เริ่มมาตั้งแต่สมัยก่อนที่ได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อทั้งท่องเที่ยวและทำงาน การดื่มไวน์มันเริ่มต้นจากทั้งความชอบส่วนตัว และความจำเป็นในหน้าที่การงาน เมื่อก่อนแอดเรียกไวน์แบบขำๆ ว่า "social stimulant" หรือสารกระตุ้นเพื่อช่วยเข้าสังคม
- ไวน์เพียงหนึ่งแก้วทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษเก่งขึ้น
- ไวน์เพียงหนึ่งแก้วทำให้คุณเปลี่ยนนิสัย มีความกล้าเพิ่มขึ้น เป็น extrovert มากขึ้น
- และไวน์เพียงสองแก้วสามารถให้สำเนียง British accent กับคุณได้ 55
แต่การดื่มไวน์ที่ไทยมันมีต้นทุนที่สูงมากครับ อย่างที่รู้กันว่าภาษีสำหรับเครื่องดื่มประเภทนี้นั้นไม่ได้ถูกนัก ถ้าราคาหน้า vineyard ประมาณ $20 พอมาถึงไทยมันจะกลายเป็นไวน์ราคาเหยียบพันได้ง่ายๆ เลย ดังนั้นตอนอยู่ไทยก็เลยไม่ได้มีโอกาสลิ้มลองได้อย่างหลากหลายมากนัก
พอได้มีโอกาสเดินทางไปไร่ไวน์แบบ authentic หลายๆที่ ทั้ง France, South Africa รวมถึง Australia ด้วยแล้วก็เลยรู้สึกว่า จริงๆ แล้วการดื่มไวน์มันเข้าถึงกันได้ทุกคน ไม่ได้ต้องการต้นทุนที่สูง ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคมอะไรขนาดนั้นเลย ก็เป็นเพียงแค่เครื่องดื่มที่คุณชอบมัน คุณลิ้มลองมัน คุณมีความสุขไปกับมันก็เพียงเท่านั้น
ที่ Australia เป็นประเทศที่ใหญ่มากครับ ทั้งความแตกต่างทางด้านภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ระดับความสูงจากน้ำทะเล ประเภทของดิน สารอาหารในน้ำ ฯลฯ ก็ส่งผลให้ประเทศนี้มีหลายพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกไวน์ได้หลากหลายสายพันธุ์มาก
- NSW : Hunter Valley นั้นมีชื่อเสียงที่สุดในองุ่นไวน์ Shiraz, Chardonnay, Sermillon
- VIC : Yarra Valley แหล่งเพาะปลูกไวน์เมืองหนาวสายพันธุ์อย่าง Pinot Noir
- SA : มีย่านดังอย่าง Barossa Valley ที่เป็นที่ตั้งของไวน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Taylors และ Penfolds
- Tasmania : มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะผู้ผลิต sparkling wines
- WA : Margaret river ซึ่งมีไวน์ Chardonnay และ Cabernet Sauvingon รสจัดจ้าน
ความกว้างใหญ่ไพศาลมากของ Australia ทำให้การจะเดินทางไปทั่วประเทศก็เหมือนกับการท่องเที่ยวทั้งทวีปยุโรป 55 ดังนั้นแอดก็เลยเริ่มจากบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง Hunter Valley ก่อนแล้วกัน
Hunter Valley ตั้งอยู่ทางเหนือของ Sydney ประมาณ 2 ชั่วโมง ไปทางฝั่งซ้ายของ Newcastle โดยอุตสาหกรรมการเพาะปลูกและผลิตไวน์นั้นนับย้อนได้ไปถึงสมัยปี 1860s กันเลยครับ ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 0-1,500 เมตร มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 23 องศา และสภาพอากาศแบบ Mediterranean (อากาศไม่นิ่ง มีทั้งร้อน ฝน เย็น หนาว) ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้ทำให้เป็นพื้นที่ๆ เหมาะกับการเพาะปลูกไวน์เป็นอย่างมาก
ไวน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Hunter Valley คือไวน์ขาวอย่าง Sermillon แต่ไวน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Shiraz (หรือประเทศอื่นเรียกกัน Syrah) Shiraz เป็นไวน์แดงที่มีความนุ่มลึก สุขุมเหมือนกับผู้บริหารวัยกลางคน หรือเซ็กซี่อย่าง Scarlett Johansson สามารถเข้ากันได้กับมื้ออาหารหลายๆ แบบ ทั้งสเตค สตู สปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศ หรือจะกินกับชีสก็เข้ากันอย่างดี หรือพึ่งอกหักมาก็สามารถเปิดดื่มทั้งขวดเพียวๆได้เหมือนกัน
รสชาติของไวน์แต่ละพันธุ์นั้นจะมีความหวาน (Sweetness) ความซ่า (Acidity) ความฝาด (Tannins) และความเผ็ด (Spice) ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน โดย Shiraz นั้นจัดได้ว่าเป็นไวน์ที่ "หวานน้อยแต่เข้มข้น มีความแซ่บซ่า ความฝาดและความเผ็ดที่โดดเด่น" เหมาะกับคนที่ชอบไวน์เนื้อเข้มๆ มีรสสัมผัสทุกแบบโดดเด่นเท่ากันอย่างสมดุล
Shiraz จะให้รสสัมผัสขององุ่น พลัม และชอคโกแลต มีสไตล์ที่หลากหลายขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านดินฟ้าอากาศน้ำและความสูงตามที่แอดกล่าวไปแล้วข้างต้น แต่ถ้าเป็นพื้นที่่ย่าน Hunter Valley ที่มีภูมิอากาศแบบ warm-climate ก็จะสรรสร้าง Shiraz ให้มีรสชาติที่เข้มข้น แรง จัดจ้านกว่า Shiraz จากพื้นที่เหน็บหนาวกว่าอย่าง Barossa หรือ Yarra Valley ด้วยความหลากหลายที่ตอบโจทย์คนได้ทุกกลุ่มนี้ทำให้เป็น Shiraz หนึ่งในไวน์ที่ถูกใจทั้งกับชายและหญิง ทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่น
ไวน์ที่ Hunter Valley นั้นมีหลายระดับ หลายราคาครับ ทำให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ง่าย เริ่มต้นกันเบาๆ ที่ขวดล่ะ $20 ก็สามารถที่จะดื่มด่ำกับรสชาติได้แล้ว แต่ถ้าคุณเป็น wine enthusiast ต้องการที่จะลิ้มลองรสชาติอีกระดับ ที่มีความพิถีพิถัน มีความลุ่มลึก มีความพิเศษ มีความหายากกว่าไวน์ทั่วๆไป ที่ Hunter Valley ก็มี vineyard และ wine cellar หลายเจ้าที่นำเสนอไวน์ที่มีรสชาติระดับ premium จากกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนกว่าไวน์ระดับอุตสาหกรรมทั่วๆไป
ปกติแล้วไร่ไวน์นั้นเราไปท่องเที่ยวกันได้ทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือหน้าร้อน ซึ่งเป็นช่วงก่อนเก็บเกี่ยว เราจะสามารถไปถ่ายรูปกับพวงองุ่นไวน์ได้ มองไปในไร่ไวน์ก็จะเห็นเถาไวน์เขียวขจีปลูกเรียงกันเป็นแนวยาว รับกับภูเขา สายหมอกหนาและวิวทิวทัศน์ระดับโลกของภูมิภาค Hunter Valley
การทัวร์ไร่ไวน์นั้นสามารถไปได้ทั้งแบบ one-day trip และค้างคืน ซึ่งกิจกรรมก็จะมีทั้ง wine tasting นั่งผ่อนคลายกินอาหารจับคู่กับไวน์รสเยี่ยม ทัวร์ไร่ไวน์เรียนรู้กระบวนการเพาะปลูกและผลิตไวน์จาก wine maker ชื่อดัง หรือจะแค่แวะถ่ายรูปตาม vineyard ที่มีทิวทิวทัศน์สวยๆ ก่อนซื้อไวน์กลับบ้าน แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับ
แต่แอดแนะนำว่า ถ้ามีโอกาสไปทั้งที่ให้นอนพักซักคืน เพราะบรรยากาศยามเช้าเคล้าสายหมอก จิบไวน์เบาๆ จากชานบ้าน เคล้าคลอแสงแดดอ่อนละมุนจากพระอาทิตย์ในยามเช้า มันคือการให้รางวัลชีวิตที่ดีที่สุดครับ
ที่พักในย่าน Hunter Valley ช่วง weekend ราคาค่อนข้างสูงครับ เริ่มต้นกันที่ $400/ คืน แต่ถ้าไปพักในพื้นที่ใกล้เคียงอย่าง Cessnock หรือ Newcastle ก็จะได้ราคาที่ย่อมเยากว่า และได้เที่ยวในเมืองไปด้วยในตัว ในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ Hunter Valley ก็ยังสามารถไปท่องเที่ยวได้ครับ มีวิวสวยๆ มีสัตว์น้อยใหญ่ มีไร่ไวน์มากมายให้เราไปลิ้มรสได้ มีร้านอาหารเก่าแก่รสชาติเยี่ยมกินจับคู่กับไวน์ท้องถิ่นราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าตัง
ว่าแล้วก็หยิบไวน์ในตู้เย็นมาลองซักหน่อยดีกว่า